สำหรับปุ๋ยเคมีที่เราซื้อใช้กันตามท้องตลาดทั่วไปนั้นได้จากการการนำเอาแม่ ปุ๋ยหลายๆ ชนิดมาผสมรวมกัน เพื่อให้ปุ๋ยที่ผสมได้ มีปริมาณและสัดส่วนของธาตุอาหาร ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ตามที่ต้องการ ทั้งนี้เพื่อให้ได้ปุ๋ยที่มีสูตรหรือเกรดปุ๋ยเหมาะที่จะใช้กับพืชและดินที่ แตกต่างกันไป

เป็นที่ทราบกันแล้วว่าในปุ๋ยคอกนั้นมีธาตุอาหารหลักคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมค่อนข้างน้อย ยกเว้นมูลสุกร มูลไก่ และมูลค้างคาว ที่มาธาตุอาหารหลักสูงซึ่งบางครั้งสูงเกินกว่ามะนาวจะรับได้ทำให้ระบบรากมีปัญหาและแห้งเฉาตายไปในที่สุด แต่ข้อดีของมูลสัตว์คือจะให้ธาตุอาหารรองคือ แคลเซียม แมกนีเซียม กำมะถัน และธาตุอาหารเสริม เช่น เหล็ก แมงกานีส สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลิบดีนัม และคลอรีน นอกเหนือจากนั้นยังให้ฮอร์โมนและสารควบคุมการเจริญเติบโต ชนิดต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับพืชอีกมากมายอีกด้วย ทั้งยังมีจุลินทรย์ที่เป็นประโยชน์กับต้นมะนาวอีกมากมาย

คราวนี้เรามาดูว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะใช้ปุ๋ยทั้งสองอย่างนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับสวนมะนาวของเราโดยเริ่มจากทำคารถอนหญ้ารอบๆทรงพุ่มออกให้หมดแล้วทำการโรยปุ๋ยคอกลงไปรอบๆทรงพุ่มประมาณครึ่งกระสอบ โดยไม่ต้องใช้ดินกลบเพื่องจากรากของมะนาวหากินอยุ่ผิวดินแล้ว และให้น้ำตามปกติ หลังจากนั้นอีก 20 วัน ให้ใส่ปุ๋ยเคมี โดยรดน้ำให้ชุ่ม แล้วโรยปุ๋ยเคมีไปรอบๆทรงพุ่ม ของต้นมะนาว

เมื่อใช้ร่วมกันแล้วระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี หลายคนอาจจะงงว่ามันจะทำงานร่วมกันอย่างไร หลักการคือเมื่อใส่ปุ๋ยเคมีไปแล้วปุ๋ยเคมีจะละลายและซึมลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก และในปุ๋ยคอกมีจุลินทรีย์จำนวนมาก จุลินทรีย์พวกนี้จะไปทำการย่อยแยกตัดธาตุอาหารหลักของปุ๋ยเคมีคือ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ให้ออกจากกันธาตุไหนจะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับสูตรปุ๋ยที่ใช้ จากนั้นรากของมะนาวซึ่งมีรากฝอยจำนวนมากจะทำการดูดซับธาตุอาหารหลักทั้งสามเข้าไปใช้ประโยชน์กับต้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเนื่องจากธาตุอาหารถูกแยกย่อยโดยจุลินทรีย์เล็กมากๆถึงระดับนาโน ในทางกลับกันหากไม่มีจุลินทรีย์หรือมีจำนวนน้อย ก็จะทำให้ธาตุอาหารทั้งสามย่อยออกมาไม่เต็มประสิทธิภาพ และทำให้เกิดการตกค้างทำให้ดินเสีย เมื่อรู้ถึงหลักการแล้วครั้งต่อไปใส่ปุ๋ยเคมีก็ควรนำปุ๋ยคอกมาใส่ก่อนและทิ้งไว้ราวๆ 20 วันต้นมะนาวเราก็จะได้รับประสิทธิภาพจากปุ๋ยเคมีที่ใส่มากที่สุด

1.4k @สงวนสิขสิทธิ์โดย สวนมะนาวท้ายไร่ จังหวัดพิจิตร